ทาร์ต ไข่ ฮ่องกง (Hong Kong Egg Tart) คือหนึ่งในของหวานที่สะท้อนเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมการกินแบบผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตกได้อย่างลงตัว จุดกำเนิดของมันอาจได้รับแรงบันดาลใจจาก “ทาร์ตคัสตาร์ดอังกฤษ” หรือ “Pastel de Nata” ของโปรตุเกส แต่ชาวฮ่องกงได้ปรับสูตรให้เข้ากับรสนิยมของตนเอง จนกลายเป็นขนมที่ทั้งอร่อยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกครั้งที่กัดเข้าไปในแป้งกรอบบางที่ห่อหุ้มไส้คัสตาร์ดนุ่มละมุน จะสัมผัสได้ถึงความหอม หวาน และเนื้อสัมผัสที่ลงตัวอย่างน่าทึ่ง
ประวัติและแรงบันดาลใจของทาร์ตไข่ฮ่องกง

ย้อนกลับไปในยุคอาณานิคมอังกฤษ ฮ่องกงได้รับอิทธิพลจากอาหารตะวันตกมากมาย โดยเฉพาะของหวานประเภทอบ ร้านเบเกอรีที่เปิดโดยชาวอังกฤษเริ่มได้รับความนิยม และหนึ่งในขนมที่ถูกนำเข้ามาคือ “Egg Custard Tart” ซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านของอังกฤษ ชาวฮ่องกงนำมาดัดแปลงให้รสชาติเข้ากับลิ้นคนเอเชียมากขึ้น เช่น ทำให้ไส้คัสตาร์ดหวานน้อยกว่า และแป้งบางเบา กรอบฟู เมื่อรวมกับเทคนิคอบแบบกวางตุ้ง จึงเกิดเป็น “ทาร์ตไข่ฮ่องกง” ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
นับแต่นั้นมา ทาร์ตไข่กลายเป็นขนมยอดนิยมในร้านชาแบบฮ่องกง (Cha Chaan Teng) และร้านติ่มซำทั่วเอเชีย ความหอมของคัสตาร์ดที่อบใหม่ ๆ กับกลิ่นแป้งกรอบเนยสด เป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ที่อบอุ่นใจในเมืองที่ไม่เคยหลับใหลอย่างฮ่องกง
ส่วนผสมสำหรับทำทาร์ตไข่ฮ่องกง
ส่วนของแป้งทาร์ต (ประมาณ 12 ชิ้น):
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม
- เนยจืดเย็นจัด 150 กรัม
- น้ำเย็น 4 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลไอซิ่ง 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือเล็กน้อย
ส่วนของไส้คัสตาร์ด:
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- น้ำตาลทราย 80 กรัม
- นมสด 250 มิลลิลิตร
- วิปปิ้งครีม 50 มิลลิลิตร
- วานิลลาสกัด 1 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำแป้งทาร์ต
- เตรียมส่วนผสม:
ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ลงในชามผสม ใส่น้ำตาลไอซิ่งและเกลือลงไป คนให้เข้ากัน - ผสมเนย:
หั่นเนยจืดเย็นเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วใช้ที่ตัดเนยหรือส้อมบดเนยให้เข้ากับแป้งจนมีลักษณะคล้ายเกล็ดขนมปัง ระวังอย่าให้นวดจนเนยละลาย เพราะความเย็นของเนยจะช่วยให้แป้งออกมาฟูกรอบหลังอบ - เติมน้ำเย็น:
ค่อย ๆ เติมน้ำเย็นทีละน้อย แล้วใช้มือรวบให้เป็นก้อนแป้งโดยไม่ต้องนวดนาน - แช่พักแป้ง:
ห่อแป้งด้วยพลาสติกแรป แล้วนำไปพักในตู้เย็นประมาณ 30 นาที เพื่อให้เนยเซตตัว - ขึ้นรูปแป้ง:
รีดแป้งให้หนาประมาณ 3 มิลลิเมตร แล้วตัดให้พอดีกับพิมพ์ทาร์ต กดให้แนบแน่นกับพิมพ์และเจาะรูเล็ก ๆ ด้านล่างเพื่อป้องกันการพองตัวขณะอบ
ขั้นตอนการทำไส้คัสตาร์ด
- ตีไข่เบา ๆ:
ตีไข่ไก่ในชามจนพอเข้ากัน ไม่ต้องตีให้ขึ้นฟู เพื่อให้คัสตาร์ดมีเนื้อเนียน - ละลายน้ำตาล:
ในหม้อใบเล็ก ใส่นมสด วิปปิ้งครีม และน้ำตาล ตั้งไฟอ่อน คนจนละลาย อย่าให้เดือด - ผสมรวมกัน:
ค่อย ๆ เทส่วนผสมนมลงในไข่ แล้วคนให้เข้ากันอย่างช้า ๆ ใส่วานิลลาสกัดเพิ่มกลิ่นหอม - กรองคัสตาร์ด:
กรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระชอนละเอียด เพื่อให้ได้เนื้อคัสตาร์ดเนียนไม่มีฟองอากาศ
ขั้นตอนการอบ
- อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ล่วงหน้า 10 นาที
- เทไส้คัสตาร์ดลงในแป้งทาร์ต ประมาณ 80% ของพิมพ์ เพราะคัสตาร์ดจะขยายตัวเล็กน้อยเมื่ออบ
- อบ 10 นาทีแรกที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส เพื่อให้แป้งเซตตัว
- ลดอุณหภูมิลงเหลือ 180 องศาเซลเซียส แล้วอบต่ออีก 15–20 นาที หรือจนหน้าไส้คัสตาร์ดเริ่มเป็นสีเหลืองทองและไม่สั่นเมื่อเขย่าเบา ๆ
- พักให้เย็นบนตะแกรง ก่อนนำออกจากพิมพ์
เคล็ดลับความอร่อยแบบมืออาชีพ
- เลือกเนยคุณภาพดี: เนยจืดแท้จะให้กลิ่นหอมละมุนและทำให้แป้งกรอบนาน
- ควบคุมอุณหภูมิ: ไฟแรงเกินไปจะทำให้ไส้คัสตาร์ดแตกหรือเกิดฟอง อบด้วยไฟกลางจะช่วยให้ได้ผิวหน้าเรียบและสีสวย
- กรองคัสตาร์ดก่อนเท: เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ไส้เนียน ละมุน และไม่เป็นเม็ด
- เสิร์ฟร้อน ๆ: ทาร์ตไข่รสชาติดีที่สุดเมื่อเพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ ไส้คัสตาร์ดยังอุ่นและแป้งกรอบที่สุด
ความหลากหลายของทาร์ตไข่ในเอเชีย
ทาร์ตไข่ฮ่องกงได้แรงบันดาลใจจากขนมยุโรป แต่มีความแตกต่างจากเวอร์ชันโปรตุเกสตรงที่หน้าคัสตาร์ดของฮ่องกงจะเรียบและมีสีเหลืองสดใส ขณะที่แบบโปรตุเกสจะมีรอยไหม้เล็กน้อยจากไฟแรงบนหน้าไส้
ในมาเก๊า ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ทาร์ตไข่แบบ “Macau Style” จึงผสมผสานทั้งสองสไตล์เข้าด้วยกัน คือมีแป้งกรอบคล้ายพายเนยของฮ่องกง แต่ไส้คัสตาร์ดเข้มข้นและมีผิวไหม้นิด ๆ แบบโปรตุเกส ส่วนในประเทศไทยเอง ทาร์ตไข่ก็กลายเป็นของว่างยอดนิยมที่หาซื้อได้ง่ายในร้านกาแฟและเบเกอรี
คุณค่าทางโภชนาการ
ทาร์ตไข่หนึ่งชิ้นมีพลังงานประมาณ 180–220 กิโลแคลอรี ขึ้นอยู่กับปริมาณเนยและน้ำตาลในสูตร แม้จะเป็นของหวาน แต่ก็มีโปรตีนจากไข่และแคลเซียมจากนม ซึ่งช่วยเสริมสร้างพลังงานให้ร่างกาย เหมาะกับการรับประทานคู่กับชาเขียวหรือกาแฟในช่วงบ่าย
