อุบัติเหตุเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เช่น การโดนของมีคมบาด การหกล้ม หรือการกระแทกกับสิ่งของ อาจทำให้เกิดบาด แผล บนผิวหนังได้ หลายครั้งบาดแผลเหล่านี้สามารถดูแลได้ด้วยตนเองที่บ้าน เพียงแค่ล้างแผลและทำความสะอาดอย่างเหมาะสม แต่ก็มีบางกรณีที่บาดแผลมีความรุนแรงจนจำเป็นต้องเย็บเพื่อหยุดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
บทความนี้จะอธิบายว่าเมื่อใดที่บาดแผลควรเย็บ และสัญญาณที่ควรสังเกตเพื่อให้สามารถตัดสินใจไปพบแพทย์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
เหตุผลที่การเย็บแผลมีความสำคั
การเย็บแผลไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงาม แต่มีเหตุผลด้านการรักษาที่สำคัญ ดังนี้
- หยุดเลือดและช่วยให้เลือดแข็งตัว
เมื่อแผลลึกหรือกว้างเกินไป ร่างกายอาจไม่สามารถหยุดเลือดได้เอง การเย็บแผลช่วยปิดแผล ลดการสูญเสียเลือด และให้เลือดแข็งตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
บาดแผลที่เปิดกว้างมีโอกาสสะสมสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรค การเย็บแผลช่วยปิดผิวหนังและลดโอกาสที่สิ่งแปลกปลอมจะเข้าสู่ร่างกาย - ช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น
เมื่อผิวหนังถูกเย็บเข้าหากัน แผลจะเชื่อมประสานได้รวดเร็วขึ้นและหายได้อย่างเป็นระเบียบ - ลดรอยแผลเป็น
หากปล่อยให้แผลลึกหรือกว้างหายเอง อาจเกิดรอยแผลเป็นที่ชัดเจนมากกว่าการเย็บที่ถูกต้องตั้งแต่แรก
สัญญาณที่บ่งบอกว่าควรเย็บแผล
มีหลายลักษณะของบาดแผลที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อพิจารณาการเย็บ ได้แก่
1. แผลลึก
หากแผลลึกจนมองเห็นไขมัน กล้ามเนื้อ เอ็น หรือกระดูก แสดงว่าแผลนั้นรุนแรงเกินกว่าจะรักษาเอง และควรได้รับการเย็บโดยเร็ว
2. แผลกว้างและขอบไม่ชิดกัน
แผลที่เมื่อพยายามดึงขอบผิวหนังเข้าหากันแล้วไม่สามารถปิดสนิท แสดงว่าแผลมีความกว้างและจำเป็นต้องเย็บเพื่อให้ปิดได้สนิท
3. เลือดออกมากและไม่หยุดง่าย
หากกดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซต่อเนื่องนานกว่า 10–15 นาทีแต่เลือดยังคงไหลไม่หยุด ควรไปพบแพทย์เพื่อเย็บแผลและห้ามเลือดอย่างปลอดภัย
4. แผลยาว
โดยทั่วไป แผลที่ยาวเกิน 2–3 เซนติเมตร มักต้องการการเย็บเพื่อช่วยให้ผิวหนังปิดและสมานได้เร็วขึ้น
5. แผลที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ
เช่น ใบหน้า หนังศีรษะ มือ นิ้ว หรือข้อพับ เนื่องจากตำแหน่งเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวสูงหรือมีความสำคัญด้านความสวยงาม หากปล่อยให้แผลหายเองอาจเกิดปัญหาการเคลื่อนไหวติดขัดหรือเกิดแผลเป็นชัดเจน
6. แผลที่เกิดจากของมีคมหรือวัตถุสกปรก
เช่น โดนแก้วบาด โดนโลหะบาด หรือแผลที่มีเศษดิน ทราย หรือสิ่งสกปรกติดอยู่ การเย็บแผลช่วยลดการติดเชื้อ แต่ก่อนเย็บแพทย์จะต้องทำความสะอาดแผลอย่างละเอียดก่อน
เวลาที่เหมาะสมในการเย็บแผล
การเย็บแผลควรทำโดยเร็วที่สุดหลังจากเกิดอุบัติเหตุ โดยทั่วไป แนะนำให้ทำภายใน 6–8 ชั่วโมงแรก เพราะเป็นช่วงเวลาที่แผลยังสะอาดและความเสี่ยงต่อการติดเชื้อยังน้อย หากปล่อยไว้นานเกินไป การเย็บอาจไม่ปลอดภัยและแพทย์อาจเลือกวิธีอื่นในการดูแลแผลแทน
สำหรับบาดแผลบนใบหน้า ซึ่งมีเลือดมาเลี้ยงมากและหายเร็ว แพทย์อาจเย็บได้แม้เกิน 12–24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพแผล
ขั้นตอนการเย็บแผลโดยแพทย์
- ทำความสะอาดแผล – ใช้น้ำเกลือหรือยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดสิ่งสกปรกและเศษวัสดุออกจากบาดแผล
- ให้ยาชาเฉพาะที่ – เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดก่อนทำการเย็บ
- เย็บแผล – ใช้เข็มและไหมทางการแพทย์เย็บขอบผิวหนังให้ชิดกัน
- ทำแผลและปิดด้วยผ้าก๊อซ – เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลสมาน
- แนะนำการดูแลต่อเนื่อง – เช่น ห้ามแผลโดนน้ำในช่วงแรก การเปลี่ยนผ้าก๊อซ และกำหนดวันนัดตัดไหม
การดูแลหลังการเย็บแผล
หลังจากแพทย์เย็บแผลแล้ว ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
- รักษาความสะอาดแผล และเปลี่ยนผ้าปิดแผลตามที่แพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการขยับหรือเกร็งในบริเวณแผลมากเกินไป
- รับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาแก้ปวดตามที่แพทย์จ่าย
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดง มีหนอง หรือเจ็บปวดมากขึ้น หากพบควรรีบกลับไปพบแพทย์
- นัดตัดไหมตามระยะเวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแผล เช่น
- ใบหน้า: 3–5 วัน
- หนังศีรษะ: 7–10 วัน
- แขนหรือขา: 10–14 วัน
- ข้อต่อหรือแผลที่มีการเคลื่อนไหวมาก: 14 วันขึ้นไป
สัญญาณอันตรายหลังเย็บแผลที่ควรรีบไปพบแพทย์
- มีไข้สูง หนาวสั่น
- บริเวณแผลแดงและบวมมากขึ้น
- มีหนองหรือของเหลวขุ่นไหลออกจากแผล
- รู้สึกปวดมากผิดปกติ
- แผลแยกออกหรือไหมหลุดก่อนถึงวันนัดตัดไหม
7 สัญญาณเตือนที่บาดแผลควรเย็บ
เพื่อให้จำได้ง่ายขึ้น ผู้อ่านสามารถสังเกตจากสัญญาณเหล่านี้ หากพบข้อใดข้อหนึ่ง ควรไปพบแพทย์ทันที
- แผลลึก – เห็นชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ หรือกระดูก
- แผลกว้าง – ดึงขอบแผลเข้าหากันแล้วไม่ปิดสนิท
- เลือดออกมาก – กดนานกว่า 10–15 นาทีแล้วยังไม่หยุด
- แผลยาวกว่า 2–3 เซนติเมตร – มีโอกาสหายช้าและเกิดแผลเป็นมากขึ้น
- ตำแหน่งสำคัญ – บนใบหน้า มือ นิ้ว หรือข้อต่อ
- แผลจากของสกปรกหรือสนิม – เช่น มีดสนิม กระจกแตก เศษดิน
- แผลอ้าออก – ขอบผิวหนังห่างออกจากกันจนเห็นชั้นใต้ผิวหนัง
การป้องกันการเกิดแผลติดเชื้อก่อนถึงมือแพทย์
หากเกิดบาดแผลและยังไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ทันที ควรปฏิบัติดังนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อระหว่างรอ
- ล้างมือให้สะอาด ก่อนสัมผัสบาดแผล
- ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ เพื่อขจัดเศษสิ่งสกปรก
- กดห้ามเลือดด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซ
- ปิดแผลด้วยผ้าปิดแผลปลอดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในแผลลึก เพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อและทำให้แผลหายช้า
- รีบไปพบแพทย์เร็วที่สุด เพื่อประเมินความจำเป็นในการเย็บแผล
บาดแผลแบบใดที่อาจไม่จำเป็นต้องเย็บ
ไม่ใช่ว่าทุกแผลต้องเย็บเสมอไป แผลบางประเภทสามารถดูแลเองที่บ้านได้ เช่น
- แผลถลอกหรือแผลเล็กตื้น ๆ ที่ไม่ลึกถึงชั้นไขมัน
- แผลที่เลือดหยุดเองได้ในเวลาไม่นาน
- แผลเล็กบนผิวหนังที่ขอบแผลปิดเข้าหากันได้เอง
สำหรับแผลลักษณะนี้ การล้างแผลให้สะอาดและปิดด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซก็เพียงพอ แต่ควรสังเกตอาการต่อเนื่อง หากมีบวมแดงหรือหนองควรรีบพบแพทย์
การป้องกันแผลเป็นหลังการเย็บ
แม้จะได้รับการเย็บแผลแล้ว แต่ผู้ป่วยสามารถลดโอกาสเกิดแผลเป็นได้ด้วยวิธีดังนี้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ อย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงการเกาแผล หรือแกะสะเก็ด
- ใช้ครีมหรือเจลลดรอยแผลเป็น หลังตัดไหมและแผลปิดสนิทแล้ว
- ปกป้องแผลจากแสงแดด ด้วยการทาครีมกันแดดหรือปิดแผล เพราะแสงแดดอาจทำให้รอยแผลเข้มขึ้น
- หลีกเลี่ยงแรงดึงรั้งบริเวณแผล โดยเฉพาะแผลที่อยู่บนข้อพับหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนบาดทะยัก
บาดแผลบางประเภท เช่น แผลจากของมีสนิม ดิน หรือสัตว์กัด อาจมีความเสี่ยงต่อโรคบาดทะยัก หากไม่แน่ใจว่าได้รับวัคซีนบาดทะยักครั้งสุดท้ายเมื่อใด ควรถามแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดกระตุ้น เนื่องจากโรคบาดทะยักเป็นโรคร้ายแรงที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
ตัวอย่างสถานการณ์จริงที่ควรสังเกต
กรณีที่ 1: บาดแผลจากมีดทำครัว
นางสาวเอทำอาหารแล้วพลาดโดนมีดหั่นผักบาดนิ้ว แผลยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึกพอเห็นไขมันใต้ผิวหนัง เลือดออกต่อเนื่องแม้กดไว้แล้ว 10 นาที
- การประเมิน: แผลลึกและยาว เลือดไม่หยุดง่าย จัดเป็นแผลที่ควรเย็บ
- แนวทางปฏิบัติ: ล้างด้วยน้ำสะอาด กดห้ามเลือดด้วยผ้าก๊อซ และรีบไปพบแพทย์
กรณีที่ 2: เด็กหกล้มถลอกที่เข่า
เด็กชายบีหกล้มจากจักรยาน มีบาดแผลถลอกกว้างแต่ไม่ลึก เลือดซึมเล็กน้อยและหยุดได้เอง
- การประเมิน: แผลถลอก ไม่ลึก ขอบผิวหนังติดกัน เลือดหยุดเองได้
- แนวทางปฏิบัติ: ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด ทำความสะอาดเศษดินหรือทราย และปิดด้วยผ้าก๊อซ ไม่จำเป็นต้องเย็บ
กรณีที่ 3: ถูกเศษแก้วบาดแขน
นายซีโดนแก้วแตกบาดที่แขน แผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง ขอบผิวหนังอ้าออก เลือดไหลไม่หยุด และสงสัยว่ามีเศษแก้วค้างอยู่
- การประเมิน: แผลยาว กว้าง ลึก และมีสิ่งแปลกปลอม แผลลักษณะนี้ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อทำความสะอาดและเย็บ
- แนวทางปฏิบัติ: กดห้ามเลือดชั่วคราว และรีบพบแพทย์ทันที
กรณีที่ 4: สุนัขกัดที่ขา
หญิงสาวถูกสุนัขกัดจนเกิดแผลฉีกขาด ขอบแผลไม่เรียบและมีรอยฟันชัดเจน
- การประเมิน: แผลฉีกขาดจากสัตว์กัด ไม่ควรเย็บทันที เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แพทย์จะต้องประเมินและล้างแผลอย่างละเอียด รวมถึงให้วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าและบาดทะยัก
- แนวทางปฏิบัติ: ล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดไหลผ่านนาน 10–15 นาที ปิดแผลหลวม ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์
วิธีประเมินเบื้องต้นก่อนตัดสินใจไปพบแพทย์
ผู้ป่วยหรือคนรอบข้างสามารถใช้หลักการง่าย ๆ เพื่อช่วยตัดสินใจเบื้องต้นได้ว่าแผลควรเย็บหรือไม่
- ความลึก: เห็นชั้นใต้ผิวหนังหรือไม่
- ความยาว: เกิน 2–3 เซนติเมตรหรือไม่
- เลือด: กดห้ามเลือดเกิน 10 นาทีแล้วไม่หยุดหรือไม่
- ตำแหน่ง: อยู่ที่ใบหน้า มือ ข้อพับ หรือบริเวณที่ขยับบ่อยหรือไม่
- สภาพแผล: มีสิ่งสกปรกหรือเศษวัสดุในแผลหรือไม่
หากคำตอบคือ “ใช่” สำหรับข้อใดข้อหนึ่ง แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินอย่างมืออาชีพ
การดูแลระหว่างรอพบแพทย์
ในช่วงที่ยังไปโรงพยาบาลไม่ได้ทันที ผู้ป่วยควรทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อความปลอดภัย
- กดห้ามเลือดต่อเนื่อง ด้วยผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาด
- ยกส่วนที่บาดเจ็บให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดการไหลของเลือด
- หลีกเลี่ยงการใส่ยาสมุนไพรหรือผงใด ๆ ลงในแผล เพราะจะทำให้ทำความสะอาดยากขึ้นและเสี่ยงติดเชื้อ
- เตรียมบัตรประจำตัวและข้อมูลวัคซีน เช่น ประวัติการฉีดวัคซีนบาดทะยัก
บทสรุปเสริม
บาดแผลอาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่การตัดสินใจอย่างถูกต้องว่าจะเย็บหรือไม่เย็บมีผลต่อทั้งการหายของแผล ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และรอยแผลเป็นในอนาคต การสังเกตสัญญาณสำคัญ เช่น ความลึก ความยาว การหยุดเลือด และตำแหน่งของแผล จะช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น
การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและการไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้บาดแผลหายดี ปลอดภัย และไม่ทิ้งผลกระทบในระยะยาว
