Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    partthai
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    • สุขภาพ
    • สูตรอาหาร
    partthai
    สุขภาพ

    เมื่อไหร่ที่บาด แผล ควรเย็บ? สัญญาณที่ควรสังเกต

    George HendersonBy George HendersonSeptember 17, 2025Updated:September 17, 2025No Comments2 Mins Read

    อุบัติเหตุเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เช่น การโดนของมีคมบาด การหกล้ม หรือการกระแทกกับสิ่งของ อาจทำให้เกิดบาด แผล บนผิวหนังได้ หลายครั้งบาดแผลเหล่านี้สามารถดูแลได้ด้วยตนเองที่บ้าน เพียงแค่ล้างแผลและทำความสะอาดอย่างเหมาะสม แต่ก็มีบางกรณีที่บาดแผลมีความรุนแรงจนจำเป็นต้องเย็บเพื่อหยุดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

    บทความนี้จะอธิบายว่าเมื่อใดที่บาดแผลควรเย็บ และสัญญาณที่ควรสังเกตเพื่อให้สามารถตัดสินใจไปพบแพทย์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที


    เหตุผลที่การเย็บแผลมีความสำคั

    การเย็บแผลไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงาม แต่มีเหตุผลด้านการรักษาที่สำคัญ ดังนี้

    1. หยุดเลือดและช่วยให้เลือดแข็งตัว
      เมื่อแผลลึกหรือกว้างเกินไป ร่างกายอาจไม่สามารถหยุดเลือดได้เอง การเย็บแผลช่วยปิดแผล ลดการสูญเสียเลือด และให้เลือดแข็งตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    2. ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
      บาดแผลที่เปิดกว้างมีโอกาสสะสมสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรค การเย็บแผลช่วยปิดผิวหนังและลดโอกาสที่สิ่งแปลกปลอมจะเข้าสู่ร่างกาย
    3. ช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น
      เมื่อผิวหนังถูกเย็บเข้าหากัน แผลจะเชื่อมประสานได้รวดเร็วขึ้นและหายได้อย่างเป็นระเบียบ
    4. ลดรอยแผลเป็น
      หากปล่อยให้แผลลึกหรือกว้างหายเอง อาจเกิดรอยแผลเป็นที่ชัดเจนมากกว่าการเย็บที่ถูกต้องตั้งแต่แรก

    สัญญาณที่บ่งบอกว่าควรเย็บแผล

    มีหลายลักษณะของบาดแผลที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อพิจารณาการเย็บ ได้แก่

    1. แผลลึก

    หากแผลลึกจนมองเห็นไขมัน กล้ามเนื้อ เอ็น หรือกระดูก แสดงว่าแผลนั้นรุนแรงเกินกว่าจะรักษาเอง และควรได้รับการเย็บโดยเร็ว

    2. แผลกว้างและขอบไม่ชิดกัน

    แผลที่เมื่อพยายามดึงขอบผิวหนังเข้าหากันแล้วไม่สามารถปิดสนิท แสดงว่าแผลมีความกว้างและจำเป็นต้องเย็บเพื่อให้ปิดได้สนิท

    3. เลือดออกมากและไม่หยุดง่าย

    หากกดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซต่อเนื่องนานกว่า 10–15 นาทีแต่เลือดยังคงไหลไม่หยุด ควรไปพบแพทย์เพื่อเย็บแผลและห้ามเลือดอย่างปลอดภัย

    4. แผลยาว

    โดยทั่วไป แผลที่ยาวเกิน 2–3 เซนติเมตร มักต้องการการเย็บเพื่อช่วยให้ผิวหนังปิดและสมานได้เร็วขึ้น

    5. แผลที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ

    เช่น ใบหน้า หนังศีรษะ มือ นิ้ว หรือข้อพับ เนื่องจากตำแหน่งเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวสูงหรือมีความสำคัญด้านความสวยงาม หากปล่อยให้แผลหายเองอาจเกิดปัญหาการเคลื่อนไหวติดขัดหรือเกิดแผลเป็นชัดเจน

    6. แผลที่เกิดจากของมีคมหรือวัตถุสกปรก

    เช่น โดนแก้วบาด โดนโลหะบาด หรือแผลที่มีเศษดิน ทราย หรือสิ่งสกปรกติดอยู่ การเย็บแผลช่วยลดการติดเชื้อ แต่ก่อนเย็บแพทย์จะต้องทำความสะอาดแผลอย่างละเอียดก่อน


    เวลาที่เหมาะสมในการเย็บแผล

    การเย็บแผลควรทำโดยเร็วที่สุดหลังจากเกิดอุบัติเหตุ โดยทั่วไป แนะนำให้ทำภายใน 6–8 ชั่วโมงแรก เพราะเป็นช่วงเวลาที่แผลยังสะอาดและความเสี่ยงต่อการติดเชื้อยังน้อย หากปล่อยไว้นานเกินไป การเย็บอาจไม่ปลอดภัยและแพทย์อาจเลือกวิธีอื่นในการดูแลแผลแทน

    สำหรับบาดแผลบนใบหน้า ซึ่งมีเลือดมาเลี้ยงมากและหายเร็ว แพทย์อาจเย็บได้แม้เกิน 12–24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพแผล


    ขั้นตอนการเย็บแผลโดยแพทย์

    1. ทำความสะอาดแผล – ใช้น้ำเกลือหรือยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดสิ่งสกปรกและเศษวัสดุออกจากบาดแผล
    2. ให้ยาชาเฉพาะที่ – เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดก่อนทำการเย็บ
    3. เย็บแผล – ใช้เข็มและไหมทางการแพทย์เย็บขอบผิวหนังให้ชิดกัน
    4. ทำแผลและปิดด้วยผ้าก๊อซ – เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลสมาน
    5. แนะนำการดูแลต่อเนื่อง – เช่น ห้ามแผลโดนน้ำในช่วงแรก การเปลี่ยนผ้าก๊อซ และกำหนดวันนัดตัดไหม

    การดูแลหลังการเย็บแผล

    หลังจากแพทย์เย็บแผลแล้ว ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

    • รักษาความสะอาดแผล และเปลี่ยนผ้าปิดแผลตามที่แพทย์สั่ง
    • หลีกเลี่ยงการขยับหรือเกร็งในบริเวณแผลมากเกินไป
    • รับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาแก้ปวดตามที่แพทย์จ่าย
    • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดง มีหนอง หรือเจ็บปวดมากขึ้น หากพบควรรีบกลับไปพบแพทย์
    • นัดตัดไหมตามระยะเวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแผล เช่น
      • ใบหน้า: 3–5 วัน
      • หนังศีรษะ: 7–10 วัน
      • แขนหรือขา: 10–14 วัน
      • ข้อต่อหรือแผลที่มีการเคลื่อนไหวมาก: 14 วันขึ้นไป

    สัญญาณอันตรายหลังเย็บแผลที่ควรรีบไปพบแพทย์

    • มีไข้สูง หนาวสั่น
    • บริเวณแผลแดงและบวมมากขึ้น
    • มีหนองหรือของเหลวขุ่นไหลออกจากแผล
    • รู้สึกปวดมากผิดปกติ
    • แผลแยกออกหรือไหมหลุดก่อนถึงวันนัดตัดไหม

    7 สัญญาณเตือนที่บาดแผลควรเย็บ

    เพื่อให้จำได้ง่ายขึ้น ผู้อ่านสามารถสังเกตจากสัญญาณเหล่านี้ หากพบข้อใดข้อหนึ่ง ควรไปพบแพทย์ทันที

    1. แผลลึก – เห็นชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ หรือกระดูก
    2. แผลกว้าง – ดึงขอบแผลเข้าหากันแล้วไม่ปิดสนิท
    3. เลือดออกมาก – กดนานกว่า 10–15 นาทีแล้วยังไม่หยุด
    4. แผลยาวกว่า 2–3 เซนติเมตร – มีโอกาสหายช้าและเกิดแผลเป็นมากขึ้น
    5. ตำแหน่งสำคัญ – บนใบหน้า มือ นิ้ว หรือข้อต่อ
    6. แผลจากของสกปรกหรือสนิม – เช่น มีดสนิม กระจกแตก เศษดิน
    7. แผลอ้าออก – ขอบผิวหนังห่างออกจากกันจนเห็นชั้นใต้ผิวหนัง

    การป้องกันการเกิดแผลติดเชื้อก่อนถึงมือแพทย์

    หากเกิดบาดแผลและยังไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ทันที ควรปฏิบัติดังนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อระหว่างรอ

    • ล้างมือให้สะอาด ก่อนสัมผัสบาดแผล
    • ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ เพื่อขจัดเศษสิ่งสกปรก
    • กดห้ามเลือดด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซ
    • ปิดแผลด้วยผ้าปิดแผลปลอดเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในแผลลึก เพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อและทำให้แผลหายช้า
    • รีบไปพบแพทย์เร็วที่สุด เพื่อประเมินความจำเป็นในการเย็บแผล

    บาดแผลแบบใดที่อาจไม่จำเป็นต้องเย็บ

    ไม่ใช่ว่าทุกแผลต้องเย็บเสมอไป แผลบางประเภทสามารถดูแลเองที่บ้านได้ เช่น

    • แผลถลอกหรือแผลเล็กตื้น ๆ ที่ไม่ลึกถึงชั้นไขมัน
    • แผลที่เลือดหยุดเองได้ในเวลาไม่นาน
    • แผลเล็กบนผิวหนังที่ขอบแผลปิดเข้าหากันได้เอง

    สำหรับแผลลักษณะนี้ การล้างแผลให้สะอาดและปิดด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซก็เพียงพอ แต่ควรสังเกตอาการต่อเนื่อง หากมีบวมแดงหรือหนองควรรีบพบแพทย์


    การป้องกันแผลเป็นหลังการเย็บ

    แม้จะได้รับการเย็บแผลแล้ว แต่ผู้ป่วยสามารถลดโอกาสเกิดแผลเป็นได้ด้วยวิธีดังนี้

    1. ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ อย่างเคร่งครัด
    2. หลีกเลี่ยงการเกาแผล หรือแกะสะเก็ด
    3. ใช้ครีมหรือเจลลดรอยแผลเป็น หลังตัดไหมและแผลปิดสนิทแล้ว
    4. ปกป้องแผลจากแสงแดด ด้วยการทาครีมกันแดดหรือปิดแผล เพราะแสงแดดอาจทำให้รอยแผลเข้มขึ้น
    5. หลีกเลี่ยงแรงดึงรั้งบริเวณแผล โดยเฉพาะแผลที่อยู่บนข้อพับหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนบาดทะยัก

    บาดแผลบางประเภท เช่น แผลจากของมีสนิม ดิน หรือสัตว์กัด อาจมีความเสี่ยงต่อโรคบาดทะยัก หากไม่แน่ใจว่าได้รับวัคซีนบาดทะยักครั้งสุดท้ายเมื่อใด ควรถามแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดกระตุ้น เนื่องจากโรคบาดทะยักเป็นโรคร้ายแรงที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

    ตัวอย่างสถานการณ์จริงที่ควรสังเกต

    กรณีที่ 1: บาดแผลจากมีดทำครัว

    นางสาวเอทำอาหารแล้วพลาดโดนมีดหั่นผักบาดนิ้ว แผลยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึกพอเห็นไขมันใต้ผิวหนัง เลือดออกต่อเนื่องแม้กดไว้แล้ว 10 นาที

    • การประเมิน: แผลลึกและยาว เลือดไม่หยุดง่าย จัดเป็นแผลที่ควรเย็บ
    • แนวทางปฏิบัติ: ล้างด้วยน้ำสะอาด กดห้ามเลือดด้วยผ้าก๊อซ และรีบไปพบแพทย์

    กรณีที่ 2: เด็กหกล้มถลอกที่เข่า

    เด็กชายบีหกล้มจากจักรยาน มีบาดแผลถลอกกว้างแต่ไม่ลึก เลือดซึมเล็กน้อยและหยุดได้เอง

    • การประเมิน: แผลถลอก ไม่ลึก ขอบผิวหนังติดกัน เลือดหยุดเองได้
    • แนวทางปฏิบัติ: ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด ทำความสะอาดเศษดินหรือทราย และปิดด้วยผ้าก๊อซ ไม่จำเป็นต้องเย็บ

    กรณีที่ 3: ถูกเศษแก้วบาดแขน

    นายซีโดนแก้วแตกบาดที่แขน แผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง ขอบผิวหนังอ้าออก เลือดไหลไม่หยุด และสงสัยว่ามีเศษแก้วค้างอยู่

    • การประเมิน: แผลยาว กว้าง ลึก และมีสิ่งแปลกปลอม แผลลักษณะนี้ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อทำความสะอาดและเย็บ
    • แนวทางปฏิบัติ: กดห้ามเลือดชั่วคราว และรีบพบแพทย์ทันที

    กรณีที่ 4: สุนัขกัดที่ขา

    หญิงสาวถูกสุนัขกัดจนเกิดแผลฉีกขาด ขอบแผลไม่เรียบและมีรอยฟันชัดเจน

    • การประเมิน: แผลฉีกขาดจากสัตว์กัด ไม่ควรเย็บทันที เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แพทย์จะต้องประเมินและล้างแผลอย่างละเอียด รวมถึงให้วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าและบาดทะยัก
    • แนวทางปฏิบัติ: ล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดไหลผ่านนาน 10–15 นาที ปิดแผลหลวม ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์

    วิธีประเมินเบื้องต้นก่อนตัดสินใจไปพบแพทย์

    ผู้ป่วยหรือคนรอบข้างสามารถใช้หลักการง่าย ๆ เพื่อช่วยตัดสินใจเบื้องต้นได้ว่าแผลควรเย็บหรือไม่

    • ความลึก: เห็นชั้นใต้ผิวหนังหรือไม่
    • ความยาว: เกิน 2–3 เซนติเมตรหรือไม่
    • เลือด: กดห้ามเลือดเกิน 10 นาทีแล้วไม่หยุดหรือไม่
    • ตำแหน่ง: อยู่ที่ใบหน้า มือ ข้อพับ หรือบริเวณที่ขยับบ่อยหรือไม่
    • สภาพแผล: มีสิ่งสกปรกหรือเศษวัสดุในแผลหรือไม่

    หากคำตอบคือ “ใช่” สำหรับข้อใดข้อหนึ่ง แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินอย่างมืออาชีพ


    การดูแลระหว่างรอพบแพทย์

    ในช่วงที่ยังไปโรงพยาบาลไม่ได้ทันที ผู้ป่วยควรทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อความปลอดภัย

    1. กดห้ามเลือดต่อเนื่อง ด้วยผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาด
    2. ยกส่วนที่บาดเจ็บให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดการไหลของเลือด
    3. หลีกเลี่ยงการใส่ยาสมุนไพรหรือผงใด ๆ ลงในแผล เพราะจะทำให้ทำความสะอาดยากขึ้นและเสี่ยงติดเชื้อ
    4. เตรียมบัตรประจำตัวและข้อมูลวัคซีน เช่น ประวัติการฉีดวัคซีนบาดทะยัก

    บทสรุปเสริม

    บาดแผลอาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่การตัดสินใจอย่างถูกต้องว่าจะเย็บหรือไม่เย็บมีผลต่อทั้งการหายของแผล ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และรอยแผลเป็นในอนาคต การสังเกตสัญญาณสำคัญ เช่น ความลึก ความยาว การหยุดเลือด และตำแหน่งของแผล จะช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

    การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและการไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้บาดแผลหายดี ปลอดภัย และไม่ทิ้งผลกระทบในระยะยาว

    การสูบบุหรี่ทำลาย สมอง อย่างถาวรได้อย่างไร จริงหรือไม่? ล้างหน้าหลังจากเหงื่อออกช่วยป้องกันสิวได้ ประโยชน์ของการอาบน้ำเย็นเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย วัดมหาธาตุ วัดโบราณกับเศียรพระพุทธรูปในรากไม้ วันหยุดที่ ฮอกไกโด สวรรค์ที่ซ่อนเร้นในภาคเหนือของญี่ปุ่น เมื่อไหร่ที่บาด แผล ควรเย็บ? สัญญาณที่ควรสังเกต
    George Henderson

    Related Posts

    สูตรทาร์ต ไข่ ฮ่องกง: แป้งกรอบ ไส้คัสตาร์ดนุ่มละมุน

    October 29, 2025

    มินิโดนัทมัทฉะและ ลาเวนเดอร์ คู่หอมที่สะกดทุกประสาทสัมผัส

    October 28, 2025

    จากพาฟโลวาสู่พายเนื้อ: เจาะลึกโลกอาหารคลาสสิกของ ออสเตรเลีย

    October 26, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.