ปราสาท ฮิเมจิ (Himeji Castle) เป็นหนึ่งในสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น และได้รับการยกย่องให้เป็นปราสาทที่สวยงามที่สุดในประเทศ ด้วยสถาปัตยกรรมสีขาวสะอาดตา ที่ดูราวกับนกกระเรียนกำลังกางปีก ปราสาทแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “ปราสาทนกกระเรียนขาว” (Shirasagijo) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี 1993 บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความงดงาม ประวัติศาสตร์ และเคล็ดลับการเที่ยวชมปราสาทฮิเมจิอย่างละเอียด
ประวัติศาสตร์อันยาวนานของปราสาทฮิเมจิ
ปราสาทฮิเมจิเริ่มก่อสร้างในศตวรรษที่ 14 ในยุค Muromachi (1336-1573) โดยเริ่มจากเพียงป้อมปราการเล็กๆ ก่อนจะได้รับการขยายและปรับปรุงให้กลายเป็นปราสาทขนาดใหญ่ในยุค Azuchi-Momoyama (1568-1600) โดยโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ไดเมียวผู้มีอำนาจในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างปราสาทในปัจจุบันส่วนใหญ่สร้างขึ้นในต้นศตวรรษที่ 17 โดยอิเคดะ เทรุมาสะ (Ikeda Terumasa) ซึ่งได้รับที่ดินนี้เป็นรางวัลหลังจากช่วยโทกูงาวะ อิเอยาสุ (Tokugawa Ieyasu) ชนะศึกในสมรภูมิเซกิงาฮาระ (Battle of Sekigahara)
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปราสาทฮิเมจิไม่เคยได้รับความเสียหายจากสงครามหรือแผ่นดินไหว แม้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองฮิเมจิถูกโจมตีทางอากาศ แต่ปราสาทก็รอดพ้นจากการถูกทำลายอย่างน่าอัศจรรย์
สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น: ปราสาทที่สมบูรณ์แบบที่สุดในญี่ปุ่น
ปราสาทฮิเมจิเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของปราสาทญี่ปุ่นยุคกลาง เนื่องจากยังคงรักษาโครงสร้างเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน ต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่มักถูกบูรณะใหม่หรือเหลือเพียงซากปรักหักพัง
1. หอปราสาทหลัก (Tenshukaku)
หอปราสาทสูง 6 ชั้นนี้เป็นจุดเด่นที่สุดของปราสาทฮิเมจิ ภายในมีทางเดินคดเคี้ยวและกับดักต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันข้าศึก เช่น ช่องสำหรับทิ้งหินลงบนผู้บุกรุก
2. กำแพงและทางเดินลับ
ปราสาทถูกออกแบบให้เป็นเขาวงกต เพื่อทำให้ข้าศึกสับสน ทางเดินบางส่วนนำไปสู่จุดตัน ในขณะที่บางเส้นทางจะพาไปสู่หอหลัก
3. หลังคาสีขาวและกระเบื้องประดับ
สีขาวของปราสาทเกิดจากการฉาบปูนขาวที่ช่วยป้องกันไฟและเพิ่มความสวยงาม ส่วนกระเบื้องบนหลังคามีสัญลักษณ์ของตระกูลไดเมียวต่างๆ ที่เคยปกครองปราสาท
จุดชมวิวและสถานที่น่าสนใจในบริเวณปราสาท
1. สวนโคโคเอ็น (Koko-en Garden)
สวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีเมืองฮิเมจิ มี 9 สวนย่อย แต่ละแห่งออกแบบให้สะท้อนวัฒนธรรมการอยู่อาศัยในยุคเอโดะ
2. จุดชมวิวบนยอดปราสาท
เมื่อปีนขึ้นไปถึงชั้น 6 ของหอปราสาท คุณจะเห็นวิวเมืองฮิเมจิและทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) ได้อย่างชัดเจน
3. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปราสาทฮิเมจิ
ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้า ปัจจุบันจัดแสดงโบราณวัตถุและแบบจำลองปราสาทในยุคต่างๆ
ฤดูกาลที่เหมาะสำหรับการเยี่ยมชม
- ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม): ซากุระบานรอบปราสาท ทำให้เป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
- ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม): ปราสาทดูสวยงามท่ามกลางท้องฟ้าใส
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน): ใบไม้เปลี่ยนสีสร้างบรรยากาศโรแมนติก
- ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์): บางปีมีหิมะตก ทำให้ปราสาทขาวโพลนดูเหมือนภาพวาด
วิธีการเดินทางไปปราสาทฮิเมจิ
- จากโตเกียว: นั่งชินคันเซ็นสาย Tokaido-Sanyo ลงที่สถานี Himeji (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง)
- จากโอซาก้า: นั่งรถไฟ JR Special Rapid Service ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง
- จากสถานี Himeji: ปราสาทอยู่ห่างออกไป 15-20 นาที โดยการเดิน หรือนั่งรถบัสท้องถิ่น
เคล็ดลับการเที่ยวชม
- มาเช้าเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชน – ปราสาทเปิดเวลา 9:00 น. และมักมีนักท่องเที่ยวแน่นหลัง 10:30 น.
- สวมรองเท้าเดินสบาย – ต้องปีนบันไดชันหลายชั้นภายในปราสาท
- ซื้อตั๋วแบบรวม – ตั๋วเข้าปราสาท + สวนโคโคเอ็น มีราคาประหยัดกว่าซื้อแยก
- เช่าคู่มือเสียง (Audio Guide) – มีบริการภาษาอังกฤษให้เข้าใจประวัติศาสตร์ลึกขึ้น
เรื่องลึกลับและตำนานของปราสาทฮิเมจิ
ปราสาทเก่าแก่แห่งนี้มีเรื่องราวลึกลับและตำนานมากมายที่ถูกเล่าขต่อกันมา
1. วิญญาณหญิงสาวแห่งปราสาท
ตำนานเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “โอคิกุ” ซึ่งทำงานเป็นคนรับใช้ในปราสาท ถูกกล่าวหาว่าขโมยของมีค่าและถูกทรมานจนเสียชีวิต หลังจากนั้นก็มีผู้คนรายงานว่าเห็นวิญญาณของเธอปรากฏตัวใกล้บ่อน้ำในปราสาท
2. ซากปราสาทเก่าที่ถูกซ่อนไว้
นักโบราณคดีพบว่าภายใต้ปราสาทฮิเมจิในปัจจุบัน มีร่องรอยของปราสาทเก่าที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ซ่อนอยู่ ซึ่งอาจเป็นป้อมปราการดั้งเดิมก่อนที่จะถูกปรับปรุงให้ใหญ่ขึ้น
3. กับดักและทางลับ
ปราสาทถูกออกแบบมาเพื่อการป้องกันอย่างแน่นหนา มีทางลับมากมาย รวมถึงช่องสำหรับเทน้ำร้อนหรือยิงธนูใส่ผู้บุกรุก ซึ่งยังคงเห็นได้ชัดในการเยี่ยมชมปัจจุบัน
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้ปราสาทฮิเมจิ
1. วัด Engyo-ji
ตั้งอยู่บนเขาชิโคกุ (Mount Shosha) สามารถขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปชมวัดเก่าแก่ที่เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Last Samurai” บรรยากาศสงบร่มรื่นเหมาะกับการเดินป่า
2. สวนสัตว์ฮิเมจิ
เหมาะสำหรับครอบครัว มีสัตว์หลากหลายชนิดและโซนให้อาหารสัตว์โดยตรง
3. ย่านช้อปปิ้ง Otemae Street
ถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม
อาหารท้องถิ่นที่ต้องลองเมื่อมาเยือนฮิเมจิ
1. ฮิเมจิโอเด้ง (Himeji Oden)
อาหารจานร้อนแบบดั้งเดิม ที่มีรสชาติแตกต่างจากโอเด้งในภูมิภาคอื่นๆ ของญี่ปุ่น เนื่องจากใช้สาหร่ายและน้ำซุปสูตรพิเศษ
2. เนื้อฮิเมจิเบฟ (Himeji Beef)
เนื้อวัวคุณภาพสูงระดับ A4-A5 ที่เลี้ยงในท้องถิ่น มีร้านสเต็กหลายแห่งรอบปราสาท
3. อังปัง (Anpan)
ขนมปังไส้ถั่วแดงที่มีต้นกำเนิดจากฮิเมจิ หาซื้อได้ที่ร้าน Nakanaka ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1874
ประสบการณ์พิเศษในฮิเมจิ
1. ใส่ชุดกิโมโนเดินเที่ยวปราสาท
มีร้านให้เช่าชุดกิโมโนและยูคาตะใกล้ปราสาท ทำให้ถ่ายรูปสวยๆ ได้อย่างลงตัว
2. ชมปราสาทยามค่ำคืน (เปิดเฉพาะบางช่วงฤดู)
ในช่วงเทศกาลพิเศษ ปราสาทจะเปิดให้เข้าชมตอนกลางคืน และมีการประดับไฟสวยงาม
3. กิจกรรมเวิร์คช็อปทำของที่ระลึก
เช่น การทำพัดกระดาษสไตล์ญี่ปุ่น หรือการปั้นเซรามิกที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะปราสาท
การอนุรักษ์และบูรณะปราสาท
ปราสาทฮิเมจิผ่านการบูรณะใหญ่ครั้งล่าสุดระหว่างปี 2009-2015 ซึ่งใช้เวลาถึง 6 ปี โดย:
- เปลี่ยนกระเบื้องหลังคา 75,000 แผ่น
- ทำความสะอาดและซ่อมแซมผนังปูนขาวทั้งหมด
- ติดตั้งระบบป้องกันแผ่นดินไหวแบบใหม่
ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักท่องเที่ยว
- ตรวจสอบวันปิดให้ดี – ปราสาทปิดวันที่ 29-30 ธันวาคมของทุกปี
- เตรียมตัวรับสภาพอากาศ – ฤดูร้อนอาจร้อนจัด ควรพัดลมมือถือและน้ำดื่ม
- ใช้บริการไกด์ท้องถิ่น – มีไกด์อาสาสมัครที่พูดภาษาอังกฤษได้บริเวณทางเข้า
1. เส้นทางลับของนักรบซามูไร
ภายในปราสาทมีทางเดินลับที่เรียกว่า “Ninomaru” ซึ่งซามูไรระดับสูงใช้เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วระหว่างหอคอย ปัจจุบันบางส่วนเปิดให้เข้าชม แต่ต้องจองล่วงหน้าผ่านระบบพิเศษของเมืองฮิเมจิ
2. ระบบระบายน้ำอัจฉริยะ
ปราสาทถูกออกแบบให้มีระบบระบายน้ำที่ซับซ้อน:
- รางน้ำทองแดงป้องกันสนิม
- ท่อดินเผาใต้พื้นปราสาท
- ช่องทางน้ำที่คำนวณมุมเอียงอย่างแม่นยำ
3. เทคนิคการต่อต้านแผ่นดินไหว
สถาปนิกสมัยเอโดะใช้วิธีการดังต่อไปนี้:
- ฐานปราสาทถูกออกแบบให้โยกไหวได้เล็กน้อย
- ใช้โครงสร้างไม้แบบไม่มีตะปู
- วางหินฐานรากแบบพิเศษที่กระจายแรงสั่นสะเทือน
4. พิพิธภัณฑ์อาวุธซามูไรที่ซ่อนตัว
ชั้น 3 ของหอหลักมีห้องจัดแสดงอาวุธโบราณที่ไม่ปรากฏในแผนที่ท่องเที่ยวทั่วไป รวมถึง:
- ดาบที่เคยใช้โดยไดเมียวอิเคดะ
- เกราะโบราณจากศตวรรษที่ 17
- เอกสารยุทธศาสตร์การป้องกันปราสาท
5. จุดชมวิวที่ไม่มีในคู่มือ
นอกเหนือจากหอหลักแล้ว ยังมีจุดชมวิวสวยงามอื่นๆ:
- “Shachi-no-Mon” – ประตูด้านทิศตะวันออกที่มองเห็นเมืองได้ทั้งมุม
- สวนสไตล์เซนหลังปราสาท
- ระเบียงชั้น 4 ที่เห็นทิวทัศน์ทะเลเซโตะในได้ชัดเจน
6. กิจกรรมพิเศษตามฤดูกาล
- ฤดูใบไม้ผลิ: งานแสดงศิลปะการต่อสู้โบราณ
- ฤดูร้อน: งานเทศกาลตะเกียงแบบดั้งเดิม
- ฤดูใบไม้ร่วง: คอนเสิร์ตโคโตะในสวนปราสาท
- ฤดูหนาว: นิทรรศการเครื่องประดับซามูไร
7. การถ่ายรูปอย่างมืออาชีพ
เคล็ดลับจากช่างภาพท้องถิ่น:
- เวลาที่ดีที่สุดคือ 06.30-07.30 น.
- ใช้ฟิลเตอร์โพลาไรซ์เพื่อเน้นสีขาวของปราสาท
- จุดถ่ายรูปดีที่สุดอยู่ที่สวน Nishi-no-Maru
8. ของที่ระลึกหายาก
ร้านค้าในเมืองฮิเมจิมีสินค้าพิเศษเช่น:
- แสตมป์จำลองตราประจำตระกูลไดเมียว
- ชุดกระดาษประกอบปราสาท 3 มิติ
- เหรียญที่ระลึกทำจากทองแดงแท้
9. การเดินทางแบบไม่เหมือนใคร
นอกจากรถไฟแล้ว ยังมีวิธีเดินทางพิเศษ:
- เรือท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำจากสถานีฮิเมจิ
- จักรยานไฟฟ้าคุณภาพสูงให้เช่า
- รถม้ารอบปราสาทในวันหยุดสุดสัปดาห์
10. โปรแกรมอาสาสมัครพิเศษ
นักท่องเที่ยวสามารถสมัครเป็นอาสาสมัครได้ในกิจกรรม:
- ช่วยทำความสะอาดพื้นที่ปราสาท
- เป็นไกด์ภาษาต่างประเทศ
- งานอนุรักษ์เอกสารโบราณ
บทส่งท้าย: ปราสาทที่ยังมีชีวิต
ปราสาทฮิเมจิไม่ใช่เพียงสิ่งก่อสร้างจากอดีต แต่เป็นสถานที่ที่ยังคงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง:
- มีการค้นพบทางประวัติศาสตร์ใหม่ๆ ทุกปี
- เทคโนโลยีสมัยใหม่ถูกนำมาใช้ในการอนุรักษ์
- กิจกรรมใหม่ๆ ถูกจัดขึ้นตลอดเวลา